เตรียมใจรับมือความทุกข์
พระไพศาล วิสาโล
เรา ลองถามตัวเองว่าทุกวันนี้เรามีความสุขหรือไม่ ถ้าตอบว่าเรามีความสุข มีชีวิตราบรื่นทั้งส่วนตัวและการงาน ก็ควรถามต่อไปว่า เราแน่ใจหรือไม่ว่าพรุ่งนี้ชีวิตเราจะยังคงราบรื่นเหมือนวันนี้ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าวันพรุ่งนี้หรือว่าปีหน้าจะไม่เจอกับความพลัดพราก สูญเสีย ตกงาน หรือว่าเจอความเจ็บป่วย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องภัยพิบัติซึ่งใคร ๆ ก็กำลังวิตก แค่เจอน้ำท่วมซ้ำอย่างปีที่แล้ว หลายคนก็คงคงทำใจรับได้ลำบาก หรือถึงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลย แต่ก็อย่าลืมว่าในที่สุดเราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตาย ซึ่งเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้น
วันนี้สุขสบาย
แต่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย
หลายคนมีความเข้าใจไปว่าถ้าวันนี้ฉันมีความสุขแล้ว
พรุ่งนี้ฉันก็จะมีความสุขเหมือนวันนี้หรือเหมือนเมื่อวาน
อันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด จัดว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง
เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนมีคนทำนายว่าเมืองไทยจะเกิดสึนามิ
หลายคนได้ยินก็หัวเราะ
เย้ยหยันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะเมืองไทยไม่เคยเกิดสึนามิ
ถ้าเมืองไทยไม่เคยเกิดสึนามิก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะไม่เกิด
แล้วในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราอย่าไปคิดว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เกิด
ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตที่ราบรื่นตั้งแต่เล็กจนโต เรียนก็ราบรื่น
ทำงานก็ราบรื่นมาโดยตลอด จนกระทั่งมีครอบครัว มีลูก
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้
หรือในวันข้างหน้าเราจะไม่เจอวิกฤต แล้วถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาเราจะทำอย่างไร
มีหลายคนที่พบว่าชีวิตตัวเองราบรื่นมาตลอด ได้งานที่ดี ได้ครอบครัวที่ดี
แต่แล้วจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ปรากฏว่าทำใจไม่ได้
ตีโพยตีพายหรือตัดพ้อขึ้นมาว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน”
บางคนลำเลิกว่า “ฉันทำความดีมา ทานก็ทำ ศีลก็รักษา เข้าวัดเป็นประจำ
แล้วทำไมถึงเป็นมะเร็ง” คือไปคิดว่าถ้าทำความดี ให้ทาน
รักษาศีลแล้วจะไม่ป่วย ลึก ๆ ก็อาจจะคิดว่าไม่ตายด้วย ซึ่งมันเป็นความหลง
มันเป็นความเขลา แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังป่วยเป็นมะเร็งได้ แล้วปุถุชนอย่างเรา วิเศษมาจากไหน ทำไมถึงคิดว่าจะเจ็บป่วยไม่ได้
ถ้าว่าเราไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้เราจะ
สุขเหมือนวันนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร
ส่วนหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวป้องกันด้วยการดูแลสุขภาพให้ดี กินอาหารให้ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้เจ็บไม่ให้ป่วย หรือไม่ก็อาจจะเก็บเงินทำประกันภัย
เผื่อว่าเจ็บป่วยแล้วจะได้ไม่เดือดร้อนมาก นั่นเป็นเรื่องของการเตรียมตัว
แต่ว่าต้องเตรียมใจด้วย เพราะถึงแม้เราจะดูแลสุขภาพดี
ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารชีวจิต กินอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงสารพิษ
ดีท็อกซ์เป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าเราจะไม่เจ็บไม่ป่วย
ถ้าเกิดว่ามีการเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร
อันนี้เราต้องอาศัยการทำใจหรือฝึกใจไว้รับมือกับเหตุร้ายด้วย
ทีนี้เราก็ต้องถามตัวเองว่าเคยฝึก
ใจเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุร้ายเหล่านี้หรือยัง สมมติว่าไม่ป่วยเลย
ชีวิตนี้ราบรื่นตลอด ในอนาคตก็ไม่ป่วย
แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เจอความพลัดพรากสูญเสีย เรามีอายุยืน
แต่ว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าลูก เมีย สามี พ่อ แม่
เขาอาจไม่ได้อายุยืนตามเราด้วย บางคนก็อายุสั้น
แต่ไม่ว่าอายุสั้นหรืออายุยืน ก็ต้องตายทั้งนั้น และหากเขาตายก่อนเรา
เราจะทำใจอย่างไร
เราไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแบบนี้ขึ้นได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
อย่างมากก็ป้องกันได้แค่ ๙๐ เปอร์เซนต์ ที่เหลืออีก ๑๐
เปอร์เซนต์ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะป้องกันหรือควบคุมได้
แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจะทำอย่างไร
เราจะเศร้าโศกเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่
เหมือนกับคนที่มีชีวิตราบรื่น แต่พอเป็นมะเร็งก็ทำใจไม่ได้
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปเยี่ยมคนป่วย
ที่เป็นมะเร็ง แกพูดอย่างเดียวว่าอยากตาย อยากตาย
ไม่อยากอยู่แล้วเพราะว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน
ก่อนหน้านั้นก็เคยมีคนป่วยมาปรึกษากับอาตมาทางโทรศัพท์ เขาพูดว่าอยากตาย
ไม่อยากอยู่ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตก็ดูเหมือนจะราบรื่น ทำงานสถานทูต
งานการก็ก้าวหน้าดี ครอบครัวก็ดี แต่พอมาเจอมะเร็งก็ไม่อยากอยู่แล้ว
ขอตายดีกว่า
อันนี้เป็นตัวอย่างของคนซึ่งคิดว่าวันนี้สุขแล้วพรุ่งนี้ก็จะสุขด้วย
ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับเหตุร้ายเลย
คนเหล่านี้อาจเคยถูกชวนให้มา
ปฏิบัติธรรม เขาก็คงก็ให้เหตุผลคล้าย ๆ กันว่าจะปฏิบัติทำไม
เพราะว่าฉันไม่ได้ทุกข์อะไร ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
คนที่พูดแบบนี้เรียกได้ว่าประมาท
เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะมีความสุขเหมือนวันนี้ จะไม่มีความทุกข์ใด ๆ
มาแผ้วพาน ครั้นเจอความทุกข์เข้า ไม่ว่า ความเจ็บป่วย
ความพลัดพรากสูญเสีย ไม่ต้องสูญเสียคนรักหรอก
แค่ถูกน้ำกวาดเอาทรัพย์สมบัติไป เอารถไป ก็อยากจะตายแล้ว อย่างนี้ก็มี
นี่ก็เพราะความประมาท ไปคิดว่าชีวิตจะราบรื่นไปได้ตลอด แต่ถ้าใครก็
ตามที่ตระหนักว่าวันนี้สุขแต่พรุ่งนี้อาจจะทุกข์ก็ได้
เขาจะไม่ปฏิเสธหรือไม่มองข้ามเรื่องการเตรียมใจ
แล้วจะเตรียมใจให้ดีได้อย่างไร วิธีหนึ่งก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องของพิธีรีตอง แต่เป็นเรื่องของการฝึกใจเพื่อให้เราสามารถมีจิตใจปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปในยามที่มีสิ่งกระทบ
มีเหตุร้ายมากระหน่ำย่ำยีอย่างไรก็ใจไม่ทุกข์ ถึงแม้ว่าจะเสียทรัพย์
หรือถึงแม้กายจะเจ็บป่วย แต่ว่าไม่กระเทือนไปถึงใจ
เพราะว่าจิตใจมีธรรมะเป็นเครื่องรักษา การปฏิบัติธรรมนั้นทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุขในทางจิตใจ ถึงแม้ว่าชีวิตจะไม่ราบรื่น อาจมีความวุ่นวายหรือไม่สมหวังเกิดขึ้นก็ตาม
ที่จริงแล้วธรรมะไม่ได้ช่วยเพียง
แค่ในยามที่เราทุกข์เท่านั้น
ในยามสุขธรรมะก็ช่วยให้เราสามารถเป็นสุขได้ทั้งกายและใจด้วย
คนจำนวนไม่น้อยสุขกายก็จริง แต่ใจทุกข์ ถึงแม้ว่าการงานจะราบรื่น
แต่ว่าความทุกข์ในจิตใจก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ
บางทีก็กินไม่ได้นอนไม่หลับกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
มีพยาบาลคนมาปรึกษาว่า
วันหนึ่งเห็นประกาศเกี่ยวกับการดูงานในสถานที่หนึ่ง
เธอเห็นแล้วชอบเลยสมัครไปดูงานที่นั่น หัวหน้าก็อนุญาต มีคำสั่งออกมาแล้ว
เธอดีใจ ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนฟังแล้วก็อยากไปด้วย แล้วจะทำอย่างไร
ก็เลยไปคุยกับหัวหน้า พอถึงวันเดินทาง
หัวหน้าก็โทรศัพท์มาบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว ให้เพื่อนคนนั้นไปแทน
เธอก็เสียใจมาก ทั้งโกรธหัวหน้า ทั้งแค้นใจเพื่อน
พวกเราก็คงเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้
ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเพราะไม่ได้ทำให้ชีวิตกระทบกระเทือน
อะไรเลย แต่พอมีเหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้น
เธอก็โกรธหัวหน้าและเพื่อนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เธอจึงมาปรึกษาอาตมาว่าจะทำอย่างไรดี
นี่ขนาดไม่ได้เจอเหตุร้ายประเภทที่ว่าเป็นมะเร็งหรือว่าพลัดพรากสูญเสียคน
รัก แค่เจอเรื่องทำนองนี้ก็ซวนเซจนเกือบจะเสียศูนย์
อาตมาก็แนะนำไปว่าการที่เราไม่ได้
ไปในที่ที่เราชอบก็ถือว่าเสียไปหนึ่งอย่างแล้ว คือเสียโอกาส
ถ้าจะเสียก็ขอให้เสียแค่นี้ แต่ถ้าเราเสียใจด้วย
ก็เท่ากับว่าเรากำลังปล่อยให้ตัวเองสูญเสียสองอย่าง ไหน ๆ
จะเสียก็ขอให้เสียอย่างเดียวก็พอ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเสียอย่างเดียว
จะเสียสองอย่างคือเสียโอกาสที่ไม่ได้ไปดูงาน และเสียใจหรือเสียความสุขด้วย
เสียโอกาสที่ไม่ได้ไปดูงานนั้นเป็น
เพราะเพื่อนและหัวหน้า แต่ว่าความสุขที่เสียไปจากเหตุการณ์นี้ ใครทำให้
ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ตัวเรานั่นแหละ ทำนองเดียวกันเวลามีคนขโมยเงินเราไป
เขาก็ขโมยได้แต่เงิน เขาไม่สามารถขโมยความสุขจากเรา
หรือยัดเยียดความทุกข์ให้แก่เราได้
มีสิ่งเดียวที่จะขโมยความสุขไปจากเราก็คือใจที่ยึดมั่นถือมั่นและยังหวงยัง
แหนสิ่งของนั้น เป็นเพราะยังยึดมั่นอยู่ ก็เลยไม่ใช่แค่เสียของอย่างเดียว
แต่เสียใจด้วย แทนที่จะเสียอย่างเดียวก็เสียสองอย่าง
เสียอย่างแรกคือเสียทรัพย์สมบัตินั้นคนอื่นทำ แต่เสียใจและเสียความสุขนั้นไม่ใช่ใครทำ เราทำเอง เป็นเพราะใจที่วางไว้ไม่ถูก วางไว้ไม่เป็น
คนเราส่วนมากทุกข์เพราะใจของตนเอง
แม้แต่เวลาเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็งก็ดี
มันทำได้อย่างมากก็คือบั่นทอนร่างกายของเรา ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรง
อาจจะทำให้กินไม่ค่อยได้
แต่ว่าความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นนั้นมะเร็งไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้
ความทุกข์ใจเกิดขึ้นจากใจของเราเอง เวลามีคนมาวิจารณ์เรา นินทาเรา
มาพูดให้ร้ายเรา เขาก็ทำได้แค่นั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้
แต่ถ้าเราทุกข์มันไม่ใช่ใครทำ
เป็นเพราะใจของเราที่ไปเก็บเอาคำพูดของเขามาทิ่มแทงตัวเองต่างหาก
ทุกวันนี้เราซ้ำเติมตัวเองอยู่เป็น
อาจิณ อย่างคนที่มาปรึกษาอาตมาว่าถูกเพื่อนแย่งที่ไปดูงาน
เธอก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการเอาความทุกข์มาเผาลนจิตใจ
เอาความโกรธมาเผาลนจิตใจ ซ้ำเติมตัวเอง เวลาเสียของ เสียเงิน
ก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกจมอยู่กับความเสียใจหรือคับแค้นใจ
คนอื่นเขาเอาเงินเราไปแล้วเราก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกมุ่นครุ่นคิด
ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะความเสียดาย
เพราะความเสียใจ
ป่วยกายแทนที่จะป่วยแต่กาย ก็ป่วยใจด้วย เป็นการซ้ำเติมตัวเองเช่นกัน นี้เป็นเพราะใจไม่ได้รับการฝึกฝน ถ้าใจได้รับการฝึกฝนก็จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้มาซ้ำเติมหรือย่ำยีบีฑาจิตใจได้ ใจที่ฝึกไว้ดีแล้วจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง จะไม่หาความทุกข์มาใส่ตัว แต่จะหาทางออกจากทุกข์
ความสุขที่จริงแล้วมีอยู่กับตัวเรา
อยู่แล้ว แต่ที่เสียไปนั้นไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอก
แต่ว่าเพราะใจของเราคอยบั่นทอนเบียดเบียนความสุขให้เหลือน้อยลงต่างหาก